ทางใครทางไทย

เมื่อวันก่อนเมื่อวานมีโอกาสได้เดินทางไกล จากเมืองไกลในทวีปยุโรปมายังแผ่นดินเกิดอันน่าภูมิใจ(ไทยแลนด์ (คล้องดี)) โดยอาศัยสายการบินแถบๆประเทศตะวันออกกลางผู้มั่งคั่ง การเดินทางครั้งนี้ผมจึงต้องไปต่อเครื่องที่ประเทศเจ้าของสายการบิน เที่ยวบินจากยุโรปมายังเมืองตะวันออกกลางอยู่ในเกณท์ปานกลาง เครื่องเล็ก ไม่สะอาดมาก ไม่เก่าไม่ใหม่ มีจอส่วนตัวเลือกหนังได้ ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นแขก ซึ่งขอเดาว่าคงเดินทางกลับบ้าน ส่วนมากของส่วนที่เหลือจะเป็นชาวยุโรปซึ่งส่วนมากของส่วนนี้(ถ้าไม่ทั้งหมด)ก็เดินทางต่อมาแผ่นดินเกิดเราอันน่าภูมิใจไทยแลนด์มาก… ส่วนที่น้อยที่สุดเห็นจะเป็นคนไทย เท่าที่สังเกตุดูได้ มีสองชีวิตรวมผมแล้วแต่เมื่อเราได้ทำการเปลี่ยนเครื่องเพื่อมุ่งตรงมายังบีเคเค คดีก็พลิก!* คราวนี้ชาวต่างชาติและคนไทยมีจำนวนประมาณครึ่งๆ แม้กระทั่งจำนวนแอร์โฮสแตจก็น่าจะไทยครึ่งต่างชาติครึ่งเช่นกัน (สายการบินเดิม)

เมื่อผมได้ขึ้นขึ้นครึ่งเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน จิตใจที่พองโตที่จะได้กลับบ้านก็ค่อยๆแฟบลงด้วยสิ่งแวดล้อม อธิบายพอสังเขปดังนี้ ขณะที่ผมกำลังเดินไปที่ที่นั่ง และกำลังยกกระเป๋าสะพายเก็บไว้ในช่องเก็บนั้นก็ได้ยินเสียงกึ่งยิงกึ่งผ่านของสองสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนประเภทกึ่งหญิงกึ่งชาย “นี่แกๆ แกว่าคนนี้ คนจีนหรือไทยวะ” เสียงกึ่งยิงกึ่งผ่านลอยมากระทบหูผม ผมชำเลือง สบตาของเธอทั้งสองจึงรู้ว่าพูดถึงผม “เอ่อ ท.. ไทยครับ” เธอทั้งสองขำกิ๊กๆกั๊กๆพร้อมชำเลืองสายตายอีโรติกแบบไม่อ้อมค้อม “……” ผมยิ้มให้และนั่งลง ผมต้องนั่งข้างหลังบุคคลทั้งสองท่านไปจนถึงเมืองไทยครับ แค่เจ็ดชั่วโมงเองครับ…

เมื่อเหตุการณ์ระทึกขวัญจบไป ผมก็เริ่มอ่านหนังสือที่ค้างไว้เมื่อเที่ยวบินก่อน ขณะนั้นก็มีคนมานั่งข้างๆ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนคนนี้ อธิบายสั้นๆได้ว่าน่ากลัวแบบสุจริตครับ คือพี่เค้าหน้าตาท่าทางการแต่งตัวทุกอย่างน่ากลัวมากแต่เราก็พิสูจไม่ได้ว่าแกน่ากลัวตรงไหน คือเอาง่ายๆว่าอากาศภายในเครื่องก่อนออกนั้นร้อนพอควรเนื่องได้รอผู้โดยสารที่ดีเลย์มาจากเครื่องอื่นเป็นเวลานานแล้ว ขนาดสองเธอยังบ่นเสียงดังทุกๆ30วินาทีว่า “ร้อนวะแก เมื่อไหร่จะไปๆซะทีเนี่ย” ติดสำเนียงเพศก้ำกึ่งอย่างพองาม คุณพี่ข้างๆผมเนี่ยแกใส่แจ๊กเก็ตสีดำรูดซิบเกือบสุดคอมีป้ายองกรณ์อะไรไม่ทราบที่ผมอ่านไม่ทัน (อารมณ์ประมาณตราทีมฟุตบอลผสมแบบแบบตัวอักษรแบบข้าราชการๆ) พี่เค้ายังใส่หมวกแก๊ปสีดำปิดหน้าปิดตา เห็นแต่ปลายจมูกลงมาผมยาวรกรุงรังแม้จะมัดแล้วก็ตามที และที่สำคัญแกเงียบมากๆครับ แกแทบไม่ส่งเสียงอะไรเลยตลอดทาง มีก็แต่กลิ่นที่แกชอบส่งมาเวลาแกหาว… – -‘

เครื่องบินลำนี้ค่อนข้างเก่าครับ สังเกตุจากอุปกรณ์อีกทั้งยังค่อนข้างไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร ทั้งนี้ทั้งนั้นความโสได้ผ่านการพิสูจแล้วด้วยฝรั่งผมทองผู้กล้าหาร แกนั่งหน้าจอมอนิเตอร์ก่อนเครื่องออกหนะครับ ทีนี้แกคงคิดไรอยู่ไม่ทราบได้ แกเอื้อมแขนพร้อมปาดนิ้วชิ้วชี้สั้นๆป้อมๆลงบนหน้าจอครับ เป็นเส้นยาวสวยงามดั่งพู่กันจีนเลย ฝุ่นเยอะมากกกกกกกก

ขณะก่อนเครื่องขึ้นผมได้สังเกตุเห็นอาการณ์ของเหล่าชาวไทยเลยวัยกลางคน เดินหาที่นั่งว่างๆกันให้ควักเลย คือผมก็เข้าใจนะครับว่าใครๆก็อยากได้ที่นั่งสบายๆ หากใครโชคดีไม่มีใครนั่งข้างๆเลยก็อาจนอนเหยียดตัวสบายตลอดการเดินทาง คือที่นั่งของผมก็ค่อนข้างท้ายๆเครื่องซึ่งจะมีที่นั่งว่างพอสมควรผมเลยได้เห็นปรากฏการณ์นี้ ชาวไทยเหล่านี้ก็จัดการจองที่กันเมามันเลยครับ เท่าที่เห็นร้อยทั้งร้อยเป็นผู้หญิงครับประมาณว่าหน่วยข้าราชการไปดูงานต่างประเทศมา ฝรั่งหันมองหน้ากันงงๆ ประมาณว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะลักษณะเหมือนหนีอะไรมาจากส่วนหน้าของเครื่องบิน! พอเครื่องออกฝรั่งก็ถึงบางอ้อ เพราะคุณเธอทั้งหลายนอนแผ่เป็นพะยูนริมหาดบางแสน ช่างน่ารักน่าชังจริงๆ

ป.ล. “ไม่ทราบว่าจะทานอะไรดีคะ.. เนื้อแกะกับมัน หรือ ไก่กับข้าวดีคะ” – “ไก่กับข้าวครับ” ….. กินสลัด.กินขนมปัง.แกะกล่องข้าว.หอมจัง.น่ากิน.อร่อย.แต่………………………………….ทำไมไก่มีชิ้นเดียวแถมเล็กเท่าหัวนมครับ!!

ป.ล. สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแบบกึ่งหญิงกึ่งชายทั้งสองซัดน้ำเมาไปหลายแก้ว เฮฮากันมากตลอดไฟลท์ครับ อ่อ… แค่เจ็ดชั่วโมงเองครับ!

* โปรดพลิกฝ่ามือประกอบการอ่านจะได้อารมณ์มากขึ้น

Published by not.so.important

นักเดินทางทางความคิด a dreamer : an engineer : a traveler

ใส่ความเห็น